ควรเรียนตัวอักษร a,b,c หรือ Phonics ก่อน?

    เมื่อถึงคราวที่ต้องสอนให้ลูกอ่านภาษาจีนออก พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะพาลูกเรียนรู้จักชื่อตัวอักษรก่อนด้วยการใช้สื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น บล็อกตัวอักษร หนังสือ ภาพประกอบ เป็นต้น ในขณะที่เรามีความตั้งใจดี พ่อแม่ส่วนใหญ่อาจทำให้ลูกได้ประโยชน์น้อยกว่าที่ควรจะเป็นสำหรับการปูพื้นฐานการอ่าน นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาสอนชื่อของตัวอักษรก่อน เช่น A – เอ, B – บี, C – ซี หรือแม้แต่โรงเรียนในหลายแห่งก็ยังมีการสอนเด็ก ๆ ให้จำตัวอักษรและชื่อเรียกคำศัพท์เพื่อคู่กับตัวอักษรนั้น ยกตัวอย่างเช่น A- เอแอ๊นท์(Ant) มด B- บีเบิร์ด (Bird) นก C- ซีแคทแมว เป็นต้น เด็กไทยได้เรียนรู้แบบท่องจำชื่อตัวอักษรและคำศัพท์คู่กันมาเป็นชุด พวกเขาอาจจะทราบว่าความหมายของคำศัพท์บางส่วนนั้นคืออะไรก็จริง แต่กลับไม่สามารถอ่านออก หรือสื่อสารได้ บางคนจบมหาวิทยาลัยแล้วยังไม่สามารถอ่านภาษาจีนออกได้ถูกต้องเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น การเรียนรู้ชื่อตัวอักษรก่อนทำให้เด็กเรียนรู้ที่จะอ่านออกเขียนได้น้อยมาก 

    ภาพจาก https://athome.readinghorizons.com/reading-academy/phonemic-awareness

    จากภาพพีระมิด แสดงให้เห็นว่าการที่เราจะอ่านออกในระดับที่ตีความหมายและเข้าใจได้นั้น ต้องผ่านขั้นตอนทั้ง 5 กระบวนการเสียก่อน ซึ่งเริ่มจาก phonemic awareness คือการรับรู้เสียงอักษรและต่อไปขั้นที่สอง นั่นคือ phonics/decoding ขั้นตอนนี้เป็นส่วนสำคัญอย่างมากที่จะทำให้เราสามารถสะกดคำได้และเกิดความมั่นใจจนไปต่อขั้น fluency ตามด้วย vocabulary ที่เกิดการสะสมคลังคำศัพท์และเลือกสรรไปใช้ และท้ายที่สุดคือ comprehension คือการเกิดความเข้าใจในการสื่อสาร  การเรียนรู้แบบที่คนไทยจำนวนมากได้มาก็คือ ท่องจำเป็นชุด A- แอ๊นท์(Ant) มด B- เบิร์ด (นก) เป็นต้น ซึ่งเด็กจะจำได้ว่าความหมายคืออะไรก็จริงแต่ไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้หากต้องถอดรหัสเพื่อสะกดคำและอ่านคำที่ไม่คุ้นเคย วิธีการนี้เสมือนลัดขั้นไปที่ fluency แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยว่าทำไม ผลการใช้ทักษะภาษาจีนของคนไทยยังอยู่ในระดับต่ำ

    จากคอลัมน์ คนเดินตรอก โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ระบุไว้ว่าเมื่อมีการวัดผลความสามารถในการใช้ภาษาจีน ฟัง พูด อ่านและเขียน เทียบกับประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาจีนเป็นภาษาแม่จำนวน 80 ประเทศ อันดับของประเทศไทยรั้งท้ายอยู่ที่ 53 คนไทยจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้จักวิธีการเรียนรู้ภาษาจีนที่ช่วยให้ไปถึงระดับความสามารถในการสื่อสาร  เป็นไปได้ไหมว่าที่เราได้เรียนรู้กันมาแบบผิด ๆ

    Phonics คืออะไร?

    มีงานวิจัยระบุว่าการสอน phonics นั้นสำคัญมากกว่าการที่เด็กจะรู้จักว่าตัวอักษรชื่ออะไร ในเวลาเดียวกัน มันก็สำคัญด้วยเช่นกันที่เด็กจะเรียนรู้ชื่อตัวอักษรไปพร้อม ๆ กันกับเรียนรู้เรื่อง phonics และการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่รับรองว่าระบบการเรียนการสอนด้วย phonics นั้นเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดที่จะสอนให้เด็กเรียนรู้การอ่านภาษาจีน ถ้าไม่ใช่ด้วยวิธีนี้ เด็กบางคนจะจบลงด้วยการมีความบกพร่องทางด้านการอ่านอย่างร้ายแรง แต่ระบบการเรียนการสอนแบบ phonics คืออะไรกันแน่?

    Phonics เป็นการสอนเด็กให้รู้จักเสียงของแต่ละตัวอักษรหรือกลุ่มตัวอักษร เช่น ตัว “c” จะออกเสียง k”  และการสอนเด็กที่จะแยกเสียงตัวอักษรเพื่อผสมคำ เช่น เสียง k, a, t  สร้างเป็นคำว่า CAT  ซึ่งการสอนแบบนี้อ้างอิงมาจาก “synthetic phonics” สำหรับการเรียนการสอนภาษาจีนของชาติเจ้าของภาษานั้น Synthetic Phonics คือเครื่องมือสำหรับการเรียนการสอนเรื่องเสียงของพยัญชนะและสระตลอดจน การออกเสียงอย่างถูกต้อง และ การสะกดคำอย่างมีประสิทธิภาพที่กระทรวงศึกษาธิการแห่งสหราชอาณาจักรได้ระบุให้เป็นเครื่องมือหลักในหลักสูตรแกนกลางแห่งชาติ (Department of Education, 2013) ในระดับชั้นเด็กเล็กสำหรับโรงเรียนของระบบอังกฤษทั่วโลก

    ทำไมการสอน phonics สำคัญ?

    เนื่องจากภาษาจีนนั้นมีระบบการสะกดคำที่ค่อนข้างซับซ้อน ฉะนั้นการสอนเด็กให้รู้จักภาพใหญ่ของหน่วยเสียงตัวอักษรอย่างเป็นระบบจะช่วยให้เด็กนั้นสามารถผสมคำที่ซับซ้อนได้ การสอน phonics ทำให้เด็ก ๆ สามารถ “decode” หรือ ถอดรหัสตัวอักษรสู่ระบบเสียงของแต่ละตัวอักษรได้ ซึ่งทักษะนี้จำเป็นอย่างยิ่งในการที่พวกเขาจะสามารถอ่านออกแม้เป็นคำที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

    การสอน phonics จึงเปรียบเสมือนกระดุมเม็ดแรกที่หากครูหรือผู้ปกครองติดให้เด็กผิดแล้ว การแก้ไขในตอนที่พวกเขาโตขึ้นก็จะยากขึ้นไปอีกมาก เริ่มสอน phonics ลูกตั้งแต่วันนี้ งานวิจัยยืนยันว่าการเรียนภาษาใหม่ตั้งแต่อายุ 3-8 ปี เป็นช่วงเวลาที่มีประสิทธิภาพที่สุด ถ้ายังไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นจากที่ไหน ลองดูที่ Galaxy Kids หนึ่งในผู้ผลิตสื่อการเรียนภาษาจีนสำหรับเด็กที่มีประสิทธิภาพ มีแอปพลิเคชันที่เด็กๆและผู้ปกครองสามารถสนุกไปพร้อมกับการฝึกภาษากับเจ้าของภาษา เกม และได้ฝึกพูดโต้ตอบกับตัวการ์ตูนได้อย่างเป็นธรรมชาติ

    Related Posts

    Mini Chat Greeting

    Greeting

    Galaxy Kids Mini Chat: Greeting Maxi: Hello! Nana: Hello! Can you say Hello? Nana: Good job! Ready for the next one? Maxi: What is your name? Nana: My name is Nana. What is your name? Maxi: My name is Maxi. Can you say ‘My name is…’? Maxi: Nice to meet you! I love talking to […]
    Learn Chinese For Kids

    在 Galaxy Kids (銀河小子) 為何我們優先專注於學習說英文

    這是有關Galaxy Kids (銀河小子)以及它是如何產生的的故事 一切是如何開始的 Galaxy Kids (銀河小子)的創始人在成長過程中有屬於它自己學英文的困境。 隨著年齡的增長,他發現這個問題比他想像的更為普遍。與學英文奮戰是真的無處不在。 結合他的 IT 背景,他決定導入和散發可以和孩童用英語說話,聆聽並且互動的智能機器人。 但那存在著一個問題  機器人的價格都很昂貴。大多數的人都想要擁有它們,卻只有少數的人才負擔得起。但是有一件事非常明確:那就是需要一種有吸引力、結果導向的英語工具。 這便啟發了我們的執行長創造出 Galaxy Kids (銀河小子):一款具有高度教育寓意的英語學習產品(2000多種互動式課程、遊戲和歌曲),讓三至七歲的孩童可以在練習和玩耍的同時快速地學會說英語。 研究指出: 從小學習說英語  孩童學習語言的能力最好的時期是介於零至十歲。這段時期,他們的大腦就像你捏陶土一樣。大腦很靈活,非常容易塑造和成型。事實上,他們的大腦比成人的大腦活躍了21倍。 Galaxy Kids (銀河小子)便是設計來利用這一絲機會;為三至七歲孩童精心設計、循序漸進的課程,以講故事和世界一流的動畫將參與度提升到最高。 為什麼我們要在Galaxy Kids (銀河小子) 專注口說? 嬰兒通過聽和說來學習母語而不是讀和寫。這就是孩童學習說話的方式。 我們現在甚至意識到,許多學習EFL的學生可以寫和讀英語文,但仍然無法有自信地開口說。 藉著我們創辦人的經驗以及廣泛的研究後,我們也意識到這個重要性。利用人工智慧,我們開發出獨特的聊天夥伴;它們會說話,輔導,出題目,聽孩子們的口語並且糾正他們口語能力的會話小老師。 孩子們現在可以像跟機器人一樣與我們的角色說話、互動以及玩遊戲。 現階段的 Galaxy Kids (銀河小子)  因此 Galaxy Kids (銀河小子)不僅是一種學英文的有趣方式。而是既科學又有成效,讓孩子們能相當自信地說英語的方式。這是我們應用程式設計者尋求最佳解決方案所得來的結果:如何幫助您的孩子對英文會話充滿自信。